ลีนา จังจรรจา หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ลีน่าจัง เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2502 เป็นนักธุรกิจชาวไทย เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2547, 2551 และ 2552 นอกจากนี้ ลีนายังเปิดร้านขายเครื่องสำอาง "ไฮโซไซตี้" ที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ และประกอบอาชีพทนายความ
ลีนาเกิดในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน มีชื่อแต่แรกเกิดว่า ลีนา แซ่จัง เป็นบุตรคนที่ 9 จากทั้งหมด 12 คน บิดาชื่อ คี่หงอ แซ่จัง มารดาชื่อ ล่วงมุ้ย แซ่ตั้ง ลีนาสมรสกับนายวันชัย แสงพรศรีอรุณ มีบุตรชายด้วยกันสองคน ต่อมาหย่าร้างกัน
เธอกล่าวถึงที่มาของชื่อว่า เมื่อบิดาของเธอไปแจ้งเกิดที่อำเภอ ได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยตั้งชื่อจริงให้เธอ ปรากฏว่าช่วงนั้นมีภาพยนตร์อินเดียที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งมีนางเอกชื่อ ลีนา เจ้าหน้าที่จึงตั้งชื่อดังกล่าวให้ ส่วนนามสกุล "จังจรรจา" เธอได้เปลี่ยนในปี พ.ศ. 2547 เมื่อครั้งลงสมัครเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
ลีนาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยร่วมขับไล่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี โดยแต่งกายฉูดฉาด เพราะอยากเป็นจุดเด่น และยังแต่งกายลักษณะเดียวกันเข้าชมการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ด้วย
ลีนาเปิดและเป็นประธานบริษัทขายส่งเครื่องสำอาง ตั้งร้านชื่อไฮโซไซตี้อยู่ที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ ลีนายังเปิดมูลนิธิลีนา เพื่อให้การช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ประชาชน และเคลื่อนไหวทางการเมือง ลีนาเป็นจุดเด่นเพราะมักปฏิบัติกิจกรรมโดยแต่งกายฉูดฉาด เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดออกจากช่อง 9 ลีนาก็ได้มอบดอกไม้ให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ระหว่างดำเนินรายการนอกสถานเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2548 ด้วย
วันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ลีนาให้ข่าวแก่เอเอสทีวีผู้จัดการว่า สภาทนายความแห่งประเทศไทยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่ให้เงินเจ็ดหมื่นบาทแก่แม่บ้านของนาธาน โอมาน และการให้สัมภาษณ์ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยโดยไม่เหมาะสม
ในปี 2547 ลีนาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้หมายเลข 6 หาเสียงโดยใช้ถ้อยคำโฆษณาว่า "ลีนา มาจ๊ะจรรจา มาจ๊ะจรรจา มาจ๊ะ เบอร์ 6" แล้วร้องรำทำเพลงเต้นเริงร่าอยู่บนหลังรถกระบะที่ใช้หาเสียงแห่ไปบริเวณสยามสแควร์ คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงถอดถอนลีนา เพราะกฎหมายห้ามจัดมหรสพหรืองานรื่นเริงเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง
ใน 2549 ลีนาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หมายเลข 142 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง
ใน 2551 ลีนาได้ลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ได้หมายเลข 7 ใช้ถ้อยคำโฆษณาว่า "ผู้หญิงมีต่อมความชั่วน้อยกว่าผู้ชาย" นำเสนอนโยบายจัดให้มีตั๋วอัจฉริยะอันเป็นตั๋วใช้โดยสารยวดยานสาธารณะทุกประเภท ทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้ามหานคร รถไฟฟ้าบีทีเอส และเรือด่วนเจ้าพระยา ขณะเดินหาเสียง ลีนาตกคลองแสนแสบพร้อมผู้ช่วยขณะพากันตรวจพิสูจน์น้ำคลอง โดยผู้ช่วยคนดังกล่าวถึงแก่ความตายด้วย มีการวิจารณ์กันว่าเป็นการสร้างภาพ
ต่อมาในปี 2552 ลีนาลงเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีก หลังการลาออกของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลีนา ได้หมายเลข 3 แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง
ต่อมา ลีนาได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพื่อลงเลือกตั้งในปลายปี 2550 แต่พรรคไม่สนับสนุน ลีนาจึงฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายหนึ่งพันล้านบาทจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรค ทว่า ศาลยกฟ้อง ลีนาจึงย้ายไปพรรคพลังแผ่นดินไทย แต่ที่สุดก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
ในวันที่ 16 มกราคม 2551 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเปิดรับสมัครพนักงานเป็นวันแรก ลีนาได้ไปสมัครเป็นผู้ประกาศข่าวด้วย แต่ไม่ได้รับเลือก
ในหนังสือ "ปรากฏการณ์ยิ่งลักษณ์" ของสำนักพิมพ์วัฏฏะ คลาสสิฟายด์ส ลีนากล่าวตอนหนึ่งว่า บางครั้งคนกรุงเทพมหานครก็โง่เลือกคุณอภิสิทธิ์ เพราะรูปหล่อ และกล่าวโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าไม่มีความจริงใจ และเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2553 ลีนาเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ว่า "ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์เปิดโอกาสให้คนเสื้อแดงได้ชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิด้วย" และว่า ตนเองได้รับผลกระทบเช่นกันจากการเป็นนักธุรกิจย่านท่าประตูน้ำ แต่ก็ยินดีที่จะเสียสละ
ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 หลังสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมฮอตทีวีของลีนาถูกสั่งปิดโดยประกาศกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ตามการประกาศกฎอัยการศึก ลีนาได้เข้าขอความเป็นธรรมกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ ผอ.รส. ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต